ย้อนรอย 5 เกมเดือดในความทรงจำ อังกฤษ vs เยอรมัน
ความเป็นชาติใหญ่ในยุโรป เวลาเจอกันทีไรมักตกเป็นเป้าสายตาของแฟนบอลเสมอ โดยเฉพาะการเผชิญหน้ากันระหว่าง อังกฤษ และ เยอรมัน ที่สื่อต่างประเทศนิยามว่าเป็น “Rivalry” หรือการเป็นคู่ปรับอะไรประมาณนั้น จากสถิติการเจอกันที่ผ่านมาต้องบอกว่า “สูสี” มากๆ หวดกันมา 32 ครั้งก่อนหน้านี้ผลัดกันชนะทีมละ 13 หน โดยพลพรรค “สิงโตคำราม” ทำได้ดีกว่าเล็กน้อยตรงประตูได้เสียที่ยิงไป 51 และเสียเพียง 42 ประตูการเผชิญหน้าระหว่าง “สิงโต” กับ “อินทรี” มีหลายนัดเลยที่ถูกพูดถึงอย่างมาก เรียกง่ายๆ ว่าอยู่ในความทรงจำของแฟนบอลอะไรประมาณนั้น ซึ่งวันนี้ทีมจาก “สิงห์สนาม” จะพาคุณผู้อ่านนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปชน 5 เกมมันส์ๆ ของคู่นี้ เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนบอลโลก 2022 จะมาถึง
อันดับที่ 5 ยูโร 1996
นับถึงนาทีนี้ อังกฤษ ยังไม่เคยก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ศึกชิงแชมป์ยุโรปได้เลย โดยโอกาสที่พวกเขาคาดหวังมากที่สุดคือ ยูโร 96 ที่พวกเขาหวังจะเดินตามรอยฟุตบอลโลก 1966 ที่ตัวเองอาศัยความเป็นเจ้าภาพจนก้าวขึ้นไปชูโทรฟี่ได้สำเร็จ
ตลอดเส้นทาง อังกฤษ ทำผลงานได้เป็นอย่างดี ตบเรียบทั้ง เนเธอร์แลนด์ และ สเปน ก่อนไปตัดเชือกกับ เยอรมัน คู่ปรับตัวฉกาจ ซึ่งจริงๆ พลพรรค “สิงโตคำราม” ก็สู้ได้สูสี อลัน เชียร์เรอร์ ยิงให้ทีมนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 3 แต่ สเตฟาน คุนท์ซ ก็มาตีเสมอในอีก 13 นาทีต่อมา สุดท้ายต้องไปตัดสินผู้ชนะด้วยการยิงจุดโทษ
ปรากฏว่า อินทรีเหล็ก ยิงเข้าหมด 6 คน ส่วน อังกฤษ มีพลาดคนเดียวก็คือ แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือคนปัจจุบันนั้นเอง หลังผ่านทีมเจ้าภาพไปได้ เยอรมัน ก็ไปเอาชนะ เช็ก 2-1 ได้ โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟ เหมา 2 คนประตูจากโกลเด้น โกล คว้าแชมป์สมัยที่ 3 และเป็นสมัยสุดท้ายจนถึงตอนนี้
อันดับที่ 4 ฟุตบอลโลก 1996
แม้วันเวลาจะผ่านมายาวนานกว่า 57 ปี แต่เกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 66 ยังคงเป็นอีกหนึ่งเกมที่ถูกพูดถึงอย่างมาก โดยเฉพาะการขึ้นไปคว้าแชมป์เวิลด์ คัพ ครั้งแรกของ อังกฤษ รวมถึงประตูปัญหาของ เจฟฟ์ เฮิร์สท์ ที่ถูกขนานนามว่า “Ghost goal”
เกมที่เวมบลี่ย์ “สิงโตคำราม” ในฐานะเจ้าภาพฟันฝ่ามาจนถึงรอบชิงชนะเลิศ โดยมี เยอรมัน อดีตแชมป์ 1 สมัยในเวลานั้น เกมตลอด 90 นาทีทั้งสองทีมสู้กันสูสีเสมอกัน 2-2 ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษเพื่อหาผู้ชนะให้ได้
สุดท้าย เจฟฟ์ เฮิร์สท์ กลายเป็นฮีโร่ของคนทั้งชาติหลังมาเบิ้ลเพิ่ม 2 ประตูจนตัวเองทำแฮตทริกพาทีมชนะไปได้ด้วยสกอร์ 4-2 ซึ่งประตูที่สามของเจ้าภาพถูกตั้งคำถามว่าข้ามเส้นไปจริงหรือไม่ แต่สุดท้าย โทฟิค บาครามอฟ ผู้กำกับเส้นชาวโซเวียตยืนยันว่าเป็นประตูทำให้ขุนพล “อินทรีเหล็ก” รู้สึกเหมือนโดนปล้นชัยเลยทีเดียว
อันดับที่ 3 ฟุตบอลโลก 1990
หลังเกาะกุมความเจ็บช้ำจากฟุตบอลโลก 1966 ในที่สุด เยอรมัน ก็ได้มีโอกาสล้างตากับ อังกฤษ อีกครั้ง โดยหนนี้เป็นการเจอกันในรอบรองชนะเลิศเวิลด์ คัพ 1990 ที่อิตาลี เป็นเจ้าภาพ
อังกฤษ ชุดนั้นคุมทีมโดย บ็อบบี้ ร็อบสัน มีนักเตะดาวดังอย่าง สจ๊วร์ต เพียร์ซ, คริส วัดเดิ้ล, พอล แกสคอยน์ และ แกรี่ ลิเนเกอร์ เป็นตัวหลัก ส่วน เยอรมัน ไม่น้อยหน้าคุมทีมมาโดย ฟรานซ์ เบคเค่นบาวเออร์ สตาร์ของทีมก็คือ โลธ่าร์ มัทเทอุส และมี เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ กับ รูดี้ โฟลเลอร์ เป็นคู่หัวหอก
เกมสูสีตามที่สื่อคาดการณ์ อันเดรียส เบรห์เม่ ยิงให้ อินทรีเหล็ก นำก่อนนาที 60 แต่ ลิเนเกอร์ ก็มาตีเสมอในอีก 20 นาทีต่อมา สุดท้ายกินกันไม่ลงต้องตัดสินด้วยการยิงจุดโทษ และแน่นอนว่าทัพผู้ดีที่มีชื่อเสียงว่ายิงจุดโทษแย่ก็แพ้ไปตามระเบียบ แถมทัวร์นาเมนต์นั้น เยอรมัน ได้แชมป์หลังเบียด อาร์เจนติน่า แชมป์เก่า 1-0 ด้วย
อันดับที่ 2 ฟุตบอลโลก 2002
ที่ผ่านมาการเจอกันระหว่าง เยอรมัน กับ อังกฤษ ส่วนใหญ่มักไปเจอกันในรอบน็อกเอาท์ของรอบสุดท้าย แต่ในฟุตบอลโลก 2002 พวกเขาจับสลากมาหวดกันตั้งแต่รอบคัดเลือก ซึ่งเกมแรก เยอรมัน บุกมาชนะที่เวมบลี่ย์ 1-0
การกลับไปเจอกันที่มิวนิค ไม่มีใครคาดคิดว่า อินทรีเหล็ก จะโดนหักปีกคาบ้าน ยิ่งเมื่อพวกเขาเป็นฝ่ายนำก่อนตั้งแต่นาทีที่่ 6 จาก คาร์สเท่น ยานเคอร์ แต่หลังจากนั้นเสมือนเวทีโชว์ของ “สิงโตคำราม” พวกเขารุกหนักใส่เจ้าบ้านจนเล่นไม่ออก
3 นักเตะของ ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น ไมเคิ่ล โอเว่น ระเบิดฟอร์มสุดยอดยิงแฮตทริก เอมิล เฮสกี้ ซัดประตูตอกฝาโลง และที่ถูกชมมากๆ ก็คือ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ในวัย 21 ปี ที่ยิงไกลอย่างสวย และฟอร์มตลอดทั้งเกมกลบ เซบาสเตียน ไดส์เลอร์ ดาวโรจน์ของ เยอรมัน ในนาทีนั้นแบบขาดลอย
อันดับที่ 1 ฟุตบอลโลก 2010
หลังจากที่ อังกฤษ เคยได้ลูกปริศนาของ เจฟฟ์ เฮิร์สท์ จนคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1966 ให้หลังจากนั้น 44 ปี การเจอกันของคู่นี้ก็มีประตูปัญหาเกิดขึ้นอีกจนได้ แต่หนนี้เป็นทาง เยอรมัน ที่ได้อนิสงค์ความผิดพลาดจากการตัดสินของกรรมการ
แม้ อินทรีเหล็ก จะเริ่มต้นได้ดีกว่าออกนำไปก่อนถึง 2 ลูกจาก มิโรสลาฟ โคลเซ่ และ ลูคัส โพดอลสกี้ แต่ลูกทีมของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ก็ไม่ยอมง่ายๆ ไล่มาเป็น 1-2 จาก แมทธิว อัพสัน และน่าจะตีเสมอได้ในอีก 2 นาทีถัดมาหลังลูกยิงของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ข้ามเส้นไปแล้วแต่ผู้ตัดสินดันไม่เห็นและไม่ให้ประตูเฉยเลย
ประตูนี้แทบดับฝัน ดับความหวังของทีม “สิงโตคำราม” กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ เยอรมัน ยังคงได้เปรียบก่อนจะมาบวกเพิ่ม 2 ลูกรวดจาก โธมัส มุลเลอร์ และถล่มชนะไปได้ 4-1 ผ่านเข้ารอบ 8 ทีม